สาระ "ดีคอนแทค"
โรคตาอันตราย ถึงขั้นอาจมองไม่เห็น
โรคตามีอาการอย่างไร?
ปวดตา เมื่อมีก้อนเนื้อในตา หรือมีสายตาผิดปกติ
มีขี้ตา เมื่อเกิดจากการติดเชื้อ เช่น โรคริดสีดวงตา หรือมีการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาเช่น ภาวะตาแห้ง
อาการของต้อต่างๆ มีดังนี้
ผู้ที่เริ่มเป็นต้อลมช่วงแรกมักไม่แสดงอาการให้เห็น แต่จะรู้สึกถึงความผิดปกติ เช่น
- เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล
- ตาบวม ตาแดง
- รู้สึกเหมือนมีฝุ่นหรือสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา ทำให้รู้สึกคันตา
- มีอาการมากขึ้นขณะอยู่กลางแจ้ง โดนแดด โดนลม เมื่อต้อลมมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือเกิดการอักเสบ
- ลืมตาไม่ขึ้น
- เริ่มมีปัญหาในการมองเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
สาเหตุของโรคต้อลม
สาเหตุของโรคต้อลมยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แต่จะมีปัจจัยที่ทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อลม ได้แก่
- ดวงตาสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลตหรือที่เรียกว่ารังสี UV ซึ่งมีอยู่ในแสงแดดเป็นเวลานาน
- ดวงตาสัมผัสกับลม ฝุ่น ควัน และความร้อนที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาขาว
- มีอาการตาแห้งบ่อยๆ แต่ไม่รีบรักษา หรือไม่ใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
- ทำงานในที่ๆ ดวงตาต้องสัมผัสกับความร้อน ฝุ่น ควัน และแสงแดดตลอดเวลาโดยไม่มีการป้องกันดวงตา เช่น คนงานก่อสร้าง ช่างเชื่อมโลหะ ช่างเจียระไนเครื่องประดับ เป็นต้น
อันตรายของโรคต้อลม
เมื่อเยื่อบุตาขาวระคายเคือง หรือเสื่อม จนเกิดเป็นก้อนเนื้อขาวๆ เล็กๆ ที่ตาขาว จะเรียกว่า ต้อลม แต่หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา หรือยังคงปล่อยให้ดวงตาสัมผัสกับแสงแดด ฝุ่น ควัน และความร้อนอย่างต่อเนื่อง อาจเกิดอาการอักเสบจนลามไปถึงตาดำได้ เรียกว่า ต่อเนื้อ ซึ่งอันตรายกว่าต้อลม และอาจเกิดความผิดปกติของสายตาอย่างถาวรได้
วิธีป้องกันโรคต้อลม
- หลีกเลี่ยงดวงตาจากการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง ด้วยการสวมใส่แว่นตากันแดดที่ได้มาตรฐาน มีการรับรองว่าสามารถกรองรังสี UV ได้จริง ทุกครั้งที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน หรือทุกครั้งที่ขับรถกลางแดด
- หากต้องทำกิจกรรมในที่ๆ มีฝุ่น ควัน เยอะ ควรสวมใส่แว่นตาที่ช่วยป้องกันจากฝุ่นควันเหล่านั้นทุกครั้ง
- ระมัดระวังไม่ให้ดวงตาแห้ง หากดวงตารู้สึกแห้ง ควรหยอดตาด้วยน้ำตาเทียม
- หากมีอาการแสบตา คันตา ตาแดง ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วน
อาการของต้อเนื้อ
ถ้ามองเข้าไปที่ตาจะเห็นก้อนเนื้อ สีชมพู เป็นรูปสามเหลี่ยมยื่นเข้าไปในตาดำ ถ้ามีการอักเสบมักเห็น เป็นสีแดงมากขึ้น ถ้าต้อลมจะอยู่แต่ที่ตาขาวค่ะ เป็นต้อเนื้อแล้วจะมีอาการอย่างไร จะมีอาการ ระคาย เคืองตา ตาแดง อาจคันหรือมีน้ำตาไหลถ้าโดนฝุ่นหรือลม ถ้าเป็นมากๆ อาจกดกระจกตา ทำให้ มีสายตาเอียง หรือถ้าเป็นมากจนลุกลามไปบังตรงกลางของตา
สาเหตุของโรคต้อเนื้อ
- ต้อเนื้อและต้อลมเป็นโรคที่คล้ายคลึงกัน เกิดจากสาเหตุเดียวกันคือเกิดเนื่องมาจากแสงอัลตราไวโอเลตทำให้เยื่อบุตาบริเวณนั้นเสื่อมลง โรคนี้จึงมักเกิดกับผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง ดังนั้นแพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคนี้ใส่แว่นกันแดดไว้เสมอในเวลาออกกลางแจ้ง
การรักษาและการป้องกันโรคต้อเนื้อ
- ใส่แว่นกันแดด, สวมหมวก, กางร่ม ในเวลาที่ออกกลางแจ้ง
- ไม่จำเป็นต้องรักษาในรายที่มีอาการไม่มาก
- ใช้ยาหยอดตาในผู้ที่มีอาการเคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล แต่ยาหยอดตาไม่สามารถทำให้ต้อเนื้อหายไปได้
- ต้อเนื้อที่เป็นน้อยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดออกเพราะไม่อันตรายต่อตา
- การผ่าตัดจะทำให้ผู้ป่วยต้อเนื้อที่มีอาการมาก หรือต้อเนื้อที่ลุกลามเข้าไปบนกระจกตาดำมากพอสมควรและ/หรือมีผลทำให้ตามัว
อาการของต้อกระจก
- ตามัว/มองเห็นไม่ชัดเจนโดยไม่มีอาการเจ็บปวด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่มีแสงสว่างจ้า แต่กลับมองเห็นเกือบปกติในที่มืดสลัว
- มองเห็นภาพซ้อน เกิดจากความขุ่นของเลนส์แก้วตาไม่เท่ากัน การหักเหของแสงไปที่จอประสาทตาจึงไม่รวมเป็นจุดเดียว
- มองเห็นแสงไฟกระจาย โดยเฉพาะเวลาขณะขับรถในตอนกลางคืน
สาเหตุของต้อกระจก
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดต้อกระจกคือ อายุที่เพิ่มขึ้น พบว่าต้อกระจกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ช้าก็เร็ว แต่จะพบมากในผู้สูงอายุ
การรักษาต้อกระจก
การรักษาต้อกระจกทำได้โดยการผ่าตัดนำเลนส์แก้วตาที่ขุ่นออกแล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ โดยวิธีการผ่าตัดที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ได้แก่
- การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (phacoemulsification)
- การผ่าตัดต้อกระจกและฝังเลนส์เทียมโดยใช้เลเซอร์ (femtosecond laser)
อาการของต้อหิน
มุมปิดเฉียบพลัน ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะเป็นภาวะที่มีความดันตาสูงขึ้นอย่างมากและรวดเร็ว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ ปวดตาอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน ตาแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ ตามัว เห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ รวมถึงคลื่นไส้อาเจียน
ปัจจัยเสี่ยงของต้อหิน
- เชื้อชาติ คนเชื้อชาติแอฟริกันอเมริกันจะพบต้อหินสูงกว่าคนผิวขาวถึง 6-8 เท่า ส่วนคนเชื้อชาติเอเชียจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินมุมปิด
- อายุมากกว่า 40 ปี
- มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน
- ตรวจพบความดันตาสูง
- เคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา
- การใช้ยาสเตียรอยด์
- ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อาทิ สายตายาวหรือสั้นมาก กระจกตาบาง โรคเบาหวาน ไมเกรน
การรักษาต้อหิน
เนื่องจากโรคต้อหินเส้นประสาทตาจะถูกทำลายอย่างถาวร การรักษาจึงเป็นการประคับประคองเพื่อให้ประสาทตาไม่ถูกทำลายมากขึ้นและเพื่อคงการมองเห็นที่มีอยู่ให้นานที่สุด ทั้งนี้การรักษาจะขึ้นกับชนิดและระยะของโรค- การรักษาด้วยยา มีเป้าหมายในการรักษาเพื่อลดความดันตาให้อยู่ในระดับที่ประสาทตาไม่ถูกทำลายมากขึ้น ในปัจจุบันยารักษาต้อหินมีหลายกลุ่ม ซึ่งยาหยอดเหล่านี้จะออกฤทธิ์ลดการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาหรือช่วยให้การไหลเวียนออกของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาดีขึ้น การรักษาด้วยยาจำเป็นต้องหยอดยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง และแพทย์จะนัดติดตามอาการเป็นระยะๆ เพื่อประเมินผลการรักษา การดำเนินโรค และผลข้างเคียงจากยา
- การใช้เลเซอร์ โดยประเภทของเลเซอร์ที่ใช้จะขึ้นกับชนิดของต้อหินและระยะของโรค
- Selective laser trabeculoplasty (SLT) เป็นการรักษาต้อหินมุมเปิด ใช้ในกรณีที่รักษาด้วยยาหยอดตาแล้วได้ผลไม่ดีนัก มักเลือกใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ
- Laser peripheral iridotomy (LPI) เป็นการรักษาต้อหินมุมปิด
- Argon laser peripheral iridoplasty (ALPI) ใช้ร่วมกับ LPI หรือในกรณีไม่สามารถใช้ LPI รักษาได้
- Laser cyclophotocoagulation มักใช้ในกรณีที่การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล
- การผ่าตัด ใช้รักษาผู้ป่วยที่การรักษาด้วยยาหรือเลเซอร์ไม่สามารถควบคุมความดันตาได้
- Trabeculectomy เป็นการผ่าตัดทำทางระบายสำหรับน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาใหม่เพื่อลดความดันตา
- Aqueous shunt surgery กรณีที่ผ่าตัดวิธีแรกไม่ได้ผล อาจทำการผ่าตัดด้วยการใส่ท่อระบายเพื่อลดความดันตา
ตัวอย่างผู้ใช้จริง
" โปรดระวังสินค้าลอกเรียนแบบ อันตรายถึงขั้นมองไม่เห็น "
ติดต่อสั่งซื้อกับ อ้อ ได้ของแท้ 100 %
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น